About

- เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล บทความวิชาการ งานเขียนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การฉายภาพอนาคตศาสตร์ของการพัฒนาประชาคมอาเซียน และเป็นแหล่งแสวงหาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อม ของผู้ประกอบการ ประชาชน พลเมือง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ และยังเป็นการให้ข้อมูลกระตุ้น เตือน หน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง ให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Thailand : Moving forward to the future

Thailand : Moving forward to the future

ในงานสัมมนา "Moving Forward 2 ล้านล้าน ขับเคลื่อนไทยทัดเทียมโลก" ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันอังคาร 30 กรกฎาคม 2556 โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน" ว่า 





การเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งกำลังจะเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 เร็วๆนี้ และในชั้นกรรมาธิการวิสามัญฯได้ปรับลดจาก 19 มาตราเหลือ 18 มาตรา
มาตราสำคัญ เช่น มาตรา 5 ของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ที่ให้กระทรวงการคลังดำเนินการ โดยอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี มีอำนาจในการกู้เงินตราในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อใช้จ่ายด้านพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งนี้การกู้เงินดังกล่าวให้กระทำไม่เกิน 31 ธ.ค. 2563  นอกจากนี้ อีกมาตราสำคัญ คือ มาตรา 14 กำหนดให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศตามยุทธศาสตร์ได้กำหนดขั้นตอนการเสนอโครงการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์โดยหน่วยงานต้องจัดทำรายละเอียดดำเนินโครงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อพิจารณาอนุมัติการดำเนินโครงการและจัดสรรเงินกู้ดังนั้นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายที่จำเป็นโดยดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนและเสนอรายละเอียดโครงการต่อสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพื่อกลั่นกรองเสนอความเห็นไปยังครม.

ที่เข้าใจว่ากฎหมายนี้เหมือนเขียนเช็คเปล่าให้ใครไปลงทุนอะไรก็ได้ไม่เป็นความจริงการอนุมัติพ.ร.บ.นี้เป็นการกำหนดกรอบการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งที่ควบคุมขนาดลงทุนไว้ที่2ล้านล้านบาท


การลงทุนที่ผ่านมาของภาครัฐและเอกชนซึ่งเป็นการเทียบขนาดการลงทุนของประเทศกับจีดีพีซึ่งไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ25 ของจีดีพี โดยก่อนวิกฤตเศรษฐกิจมีการลงทุนมากทั้งรัฐและเอกชน รวมกันร้อยละ 42 หลังจากนั้นเป็นต้นมาเศรษฐกิจเผชิญปัญหาความไม่พร้อมของภาครัฐชัดเจน ส่งผลให้มีการลดการลงทุนลง การลงทุนภาครัฐและเอกชนรวมกันไม่เคยเข้าใกล้ ร้อยละ 25 เทียบกับจีดีพีเลย


โดยภาครัฐลงทุนน้อยลงต่อเนื่องเมื่อเทียบสัดส่วนจีดีพี ตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจจนถึงขณะนี้ เป็นเวลา 10 ปีที่เราลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์ที่ควรกำหนดให้มีการลงทุน จะเห็นว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ จะมี อาทิ ลงทุนในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์


ใน 2 ล้านล้านบาท มียุทธศาสตร์ที่แบ่งสัดส่วนสำคัญคือ ปรับเปลี่ยนระบบการขนส่งของเรา ไปสู่การใช้การขนส่งสินค้า และการโดยสารไปยังรูปแบบที่มีการขนส่งต้นทุนถูกลง จากทางถนนแพงสุด และทางรางถูกลงมาก และทางน้ำถูกที่สุด ดังนั้น การชักชวนให้ปรับเปลี่ยนระบบจึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์


ลำดับต่อมาคือยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงที่ผ่านมาถนนยังไม่เชื่อมรถไฟส่วนรถไฟไม่เชื่อมน้ำและยังไม่เชื่อมเมืองเส้นทางถนนด้านตะวันตกและตะวันออกที่เราพยายามเชื่อมเมียวดีพม่าผ่านพิษณุโลกไปยังสะหวันนะเขต ยังเป็นสองเลนจำนวนมาก และสี่เลนมีไม่ทั่วถึง สิ่งเหล่านี้จะเชื่อมโยงจุดต่างๆได้ และยุทธศาสตร์สุดท้ายคือ จะช่วยแก้ปัญหาให้การเคลื่อนตัวขนส่งสินค้าได้เร็วขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า กฎหมายที่ออกฉบับนี้เน้นการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นโครงสร้างการลงทุนขนาดใหญ่และประเมินความคุ้มค่าได้ ซึ่งไม่ได้เป็นการกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีโครงการเล็กๆกระจัดกระจาย แต่หวังให้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อไปต่อยอดเศรษฐกิจในอนาคต โดยศึกษารอบคอบ เพราะกว่าครม.จะอนุมัติต้องคำนวณความคุ้มค่าลงทุนซ้ำและดำเนินผ่านกฎหมายเกี่ยวข้องทั้งสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยครบถ้วน ครม.จึงจะพิจารณาอนุมัติในแต่ละโครงการ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะเตรียมเงินไว้เพื่อการลงทุน รวมทั้งการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินในการรองรับโครงการต่างๆด้วย


ภาพรวมของโครงการ2ล้านล้านจึงเป็นการลงทุนที่มีทั้งทางรางทางถนนทางน้ำและศุลกากร โดยเรื่องทางรางเป็นการลงทุนในสัดส่วนที่มาก แต่รัฐบาลเคยวิเคราะห์ให้เห็นว่าถ้าเราจะลงทุนในระบบของเราเต็มรูปแบบและทำให้ประเทศเรามีความพร้อมที่สุด เราถูกคาดหวังให้ลงทุน 4.2 ล้านๆ แต่หารือกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร เราควรจะถึงขนาดให้เป็นประเทศความพร้อมสูงสุดเลยหรือไม่ ก็พิจารณาให้ประเมินคุ้มค่าพอเดินได้ที่จะต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยพิจารณาประกอบไปกับการลงทุนหนี้สาธารณะของประเทศให้ต่ำในระดับที่น่าพอใจ


หนี้สาธารณะตามกรอบวินัยการคลังได้กำหนดไว้โดยรมว.คลังของรัฐบาลก่อนหน้าได้ปรับเพดานจากรอยละ50เป็น60ซึ่งยืนยันว่าเราจะควบคุมหนี้สาธารณะไม่ให้เข้าร้อยละ60 หรือ ซึ่งสว่นต่างร้อยละ 10 จะเทียบเท่ามูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นความปลอดภัย


ทั้งนี้ สบน. มีการดำเนินการระดมทุนเพื่อชำระหนี้เดิม และดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระดมตลาดในประเทศเป็นจำนวน 1.15 ล้านๆต่อปี รัฐบาลมีแนวทางกู้เงินให้สอดคล้องกับการลงทุน สภาพคล่องหลักๆที่ดูแล ทั้งจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ามีสภาพคล่อง ที่เป็นเงินจำนวนรวมเกิน 3 ล้านล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลดำเนินการ 2 ล้านล้าน อย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลา 7 ปี และมีสภาพคล่อง 3 ล้านล้าน รอการดำเนินการอยู่ ดังนั้นในแง่สถาบันการเงินต่างๆไม่ต้องตกใจ เมื่อวานพบ ธปท. ได้บอกไปเราควรทำความเข้าใจตลาดเงินในประเทศไม่ต้องตื่นเต้น ระดมชิงเงินฝากมากมายเพราะสภาพคล่องขณะนี้มีอยู่มาก


ส่วนระดับหนี้สาธารณะถ้าเรากลับมาลงทุนหลังจากไม่ลงทุนมานานและควบคุมหนี้สาธารณะให้ต่ำโดยทำได้ด้วยการคำนวณ7ปี ทยอยกู้เงินเพื่อมาชำระการลงทุนก่อสร้าง ซึ่งทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปใช้เงินงบประมาณชำระดอกเบี้ยอย่างรอบคอบ

ส่วนการลงทุนนี้จะมีภาคเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องแค่ไหนนายกิตติรัตน์ กล่าวว่า หลายโครงการที่เอกชนไม่ลงทุนแน่ เช่นสร้างถนนไม่เก็บค่าผ่านทาง การขยายถนน เพราะไม่มีรายได้เอกชน ดังนั้นภาครัฐพร้อมลงทุนให้ขยายตัวจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ แต่มีบางโครงการจัดเก็บรายได้ เช่น รถไฟจัดเก็บค่าโดยสาร มีรายได้จุดอื่นๆให้บริการ ระบบรถไฟฟ้าในเมือง เป็นเรื่องที่จะมีรายได้ ถ้าเป็นถนนมีการจัดเก็บค่าผ่านทางก็จะเป็นโอกาสเอกชนลงทุน รัฐสนใจแต่สิ่งที่เราต้องการให้แน่ใจ ถ้าเอกชนยังลังเล รัฐได้ผ่านกฎหมายที่รัฐสามารถลงทุนได้เอง เชื่อว่า พอลงทุนไปไม่ถึง 2 ล้านล้านเชื่อว่า จะมีเอกชนเสนอตัวเข้ามาลงทุนร่วมกับรัฐในการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ....(PPP) ซึ่งเพิ่งผ่านกฎหมายฉบับนี้ไป


โครงการ 2 ล้านล้าน จะมีผลต่อเศรษฐกิจ เพราะทำให้จีดีพีเติบโตขึ้น รวมทั้งเงินลงทุนก็ถือเป็นจีดีพีด้วย โครงการเสร็จสิ้นจะทำให้จีดีพีประเทศเติบโตก้าวกระโดด เพราะมีความเสถียรภาพเกิดขึ้นมาก


กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่าการดำเนินการกู้เงินในกรอบไม่เกิน 2 ล้านล้าน รักษาวินัยการคลังได้อย่างดีไม่มีอะไรที่ขัดต่อการดำเนินการตาม พ.ร.บ.อื่นและรัฐธรรมนูญ หวังว่ากฎหมายนี้ได่ผ่านเป็นประโยชน์ของประเทศ และโครงการนี้จะเป็นไปด้วยความซื่อตรงโปร่งใสไร้ทุจริตประพฤติมิชอบ

Resource from :

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1375170200




วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Myanmar : Parliament Forms Committee to Review Constitution

Myanmar : Parliament Forms Committee 
to Review Constitution 
Burma’s Parliament on Thursday established a committee to review the country’s Constitution to consider changes that could allow opposition leader Aung San Suu Kyi to become president. The changes might also allow ethnic minorities increased self-rule.
The 109-member committee includes lawmakers from all parties in Parliament, including Suu Kyi’s National League for Democracy and President Thein Sein’s ruling Union Solidarity and Development Party, along with the military’s allotted representatives.
The NLD considers the current Constitution undemocratic because it gives the military a substantial percentage of parliamentary seats and disqualifies Suu Kyi from running for president. Ethnic minority parties seek to elect their own chief ministers in their regions, rather than have them appointed.
Conflict with ethnic minorities seeking greater autonomy has bedeviled democratic and military governments alike since Burma obtained independence from Britain in 1948, and has often involved armed rebellions. Thein Sein’s government is seeking to establish cease-fires and eventually political accords with all of them.
The Constitution was drawn up under the previous military regime to ensure its continuing influence in government. The next election is in 2015.
Since coming to office in 2011, Thein Sein has instituted a series of political and economic reforms after almost five decades of repressive army rule. A major achievement was persuading Suu Kyi’s party to rejoin the electoral process after decades of government repression, and her NLD won 43 of 44 seats it contested in by-elections last year.

State television on Thursday announced a cabinet reshuffle involving 17 positions but signaling no obviously significant changes. The ministers for energy and railways traded portfolios, as did those for industry and labor, while a new national police chief was appointed, the old one retaining his other position as deputy home minister. As is customary, no reason was announced for the changes.

Resource from:

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

World : Detroit, the New Greece ! By PAUL KRUGMAN

World : Detroit, the New Greece !  
By PAUL KRUGMAN

When Detroit declared bankruptcy, or at least tried to — the legal situation has gotten complicated — I know that I wasn’t the only economist to have a sinking feeling about the likely impact on our policy discourse. Was it going to be Greece all over again?
Clearly, some people would like to see that happen. So let’s get this conversation headed in the right direction, before it’s too late.
O.K., what am I talking about? As you may recall, a few years ago Greece plunged into fiscal crisis. This was a bad thing but should have had limited effects on the rest of the world; the Greek economy is, after all, quite small (actually, about one and a half times as big as the economy of metropolitan Detroit). Unfortunately, many politicians and policy makers used the Greek crisis to hijack the debate, changing the subject from job creation to fiscal rectitude.
Now, the truth was that Greece was a very special case, holding few if any lessons for wider economic policy — and even in Greece, budget deficits were only one piece of the problem. Nonetheless, for a while policy discourse across the Western world was completely “Hellenized” — everyone was Greece, or was about to turn into Greece. And this intellectual wrong turn did huge damage to prospects for economic recovery.
So now the deficit scolds have a new case to misinterpret. Never mind the repeated failure of the predicted U.S. fiscal crisis to materialize, the sharp fall in predicted U.S. debt levels and the way much of the research the scolds used to justify their scolding has been discredited; let’s obsess about municipal budgets and public pension obligations!
Or, actually, let’s not.
Are Detroit’s woes the leading edge of a national public pensions crisis? No. State and local pensions are indeed underfunded, with experts at Boston College putting the total shortfall at $1 trillion. But many governments are taking steps to address the shortfall. These steps aren’t yet sufficient; the Boston College estimates suggest that overall pension contributions this year will be about $25 billion less than they should be. But in a $16 trillion economy, that’s just not a big deal — and even if you make more pessimistic assumptions, as some but not all accountants say you should, it still isn’t a big deal.
So was Detroit just uniquely irresponsible? Again, no. Detroit does seem to have had especially bad governance, but for the most part the city was just an innocent victim of market forces.
What? Market forces have victims? Of course they do. After all, free-market enthusiasts love to quote Joseph Schumpeter about the inevitability of “creative destruction” — but they and their audiences invariably picture themselves as being the creative destroyers, not the creatively destroyed. Well, guess what: Someone always ends up being the modern equivalent of a buggy-whip producer, and it might be you.
Sometimes the losers from economic change are individuals whose skills have become redundant; sometimes they’re companies, serving a market niche that no longer exists; and sometimes they’re whole cities that lose their place in the economic ecosystem. Decline happens.
True, in Detroit’s case matters seem to have been made worse by political and social dysfunction. One consequence of this dysfunction has been a severe case of “job sprawl” within the metropolitan area, with jobs fleeing the urban core even when employment in greater Detroit was still rising, and even as other cities were seeing something of a city-center revival. Fewer than a quarter of the jobs on offer in the Detroit metropolitan area lie within 10 miles of the traditional central business district; in greater Pittsburgh, another former industrial giant whose glory days have passed, the corresponding figure is more than 50 percent. And the relative vitality of Pittsburgh’s core may explain why the former steel capital is showing signs of a renaissance, while Detroit just keeps sinking.
So by all means let’s have a serious discussion about how cities can best manage the transition when their traditional sources of competitive advantage go away. And let’s also have a serious discussion about our obligations, as a nation, to those of our fellow citizens who have the bad luck of finding themselves living and working in the wrong place at the wrong time — because, as I said, decline happens, and some regional economies will end up shrinking, perhaps drastically, no matter what we do.
The important thing is not to let the discussion get hijacked, Greek-style. There are influential people out there who would like you to believe that Detroit’s demise is fundamentally a tale of fiscal irresponsibility and/or greedy public employees. It isn’t. For the most part, it’s just one of those things that happens now and then in an ever-changing economy.
Resource from: 
A version of this op-ed appeared in print on July 22, 2013, on page A19 of the New York edition with the headline: Detroit, the New Greece.

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

World in 2100 : The projections for what will happen in the next 90 years !

World in 2100 : The projections for what 
will happen in the next 90 years !

The United Nations Population Division, which tracks demographic data from around the world, has dramatically revised its projections for what will happen in the next 90 years. The new statistics, based on in-depth survey data from sub-Saharan Africa, tell the story of a world poised to change drastically over the next several decades. Most rich countries will shrink and age (with a couple of important exceptions), poorer countries will expand rapidly and, maybe most significant of all, Africa will see a population explosion nearly unprecedented in human history.
If these numbers turn out to be right – they’re just projections and could change significantly under unforeseen circumstances – the world of 2100 will look very different than the world of today, with implications for everyone. It will be a place where today’s dominant, developed economies are increasingly focused on supporting the elderly, where the least developed countries are transformed by population booms and where Africa, for better or worse, is more important than ever.
Here is the story of the next 90 years as predicted by UN demographic data and explained in nine charts. The charts are interactive; move your cursor over them to track and compare the data.
(1) The big story will be Africa
Right now, with a couple of exceptions, Africa’s population density is relatively low; it’s a very big continent more sparsely populated than, say, Europe or East Asia. That’s changing very quickly. The continent’s overall population is expected to more than quadruple over just 90 years, an astonishingly rapid growth that will make Africa more important than ever. And it’s not just that there will four times the workforce, four times the resource burden, four times as many voters. The rapid growth itself will likely transform political and social dynamics within African countries and thus their relationship with the rest of the world. (More on this further down.)
Asia will continue to grow but its population growth, already slowing, is expected to peak about 50 years from now then start declining. As has happened in the West, rising economies will lead to declining birth rates. And that downturned curve could represent some problematic demographic issues; more also on this further down.
The story in those three little lines at the bottom is less promising. Europe will continue to shrink, which is worsening its economic problems. South America’s population will rise until about 2050, at which point it will begin its own gradual population decline. North America is the least ambiguous success story: it will continue to grow at a slow, sustainable rate, surpassing South America’s overall population around 2070.

(2) China shrinks, India plateaus; Nigeria is a very big deal
This chart shows the futures of what are, today, the world’s five most populous nations. The two big stories here are China and Nigeria, the latter of which will have almost a billion people by 2100 and will be within range of surpassing China in population. Given that Nigeria is about the area of Texas, that’s a truly astounding possibility.
Nigeria, currently Africa’s most populous country, is poised for one of the world’s most rapid population booms ever. In just 100 years, maybe two or three generations, the population is expected to increase by a mind-boggling factor of eight. The country is already troubled by corruption, poverty and religious conflict. It’s difficult to imagine how a government that can barely serve its population right now will respond when the demand on resources, social services, schools and roads increases by a factor of eight. Still, if they pull it off – the country’s vast oil reserves could certainly help – the rapidly growing workforce could theoretically deliver an African miracle akin to, say, China’s.
Chinese leaders know their demographic crisis is coming. It’s not a mystery: the country’s massive working-age population is only allowed to have one child per couple, which means that when the current generation retires, there will be a rapidly growing pool of retirees just as the workforce starts to shrink. Those aging retirees will be an enormous burden on the Chinese economy, which is just beginning to slow down. As China ages and shrinks, its workforce will get smaller at precisely the moment that it needs them most. Make no mistake, China will continue to be an enormous, important and most likely very successful country, but its demographics are going to quickly shift from a big help to a major hindrance. Keep this in mind the next time someone tells you that China is about to take over the world.
As for the other three: India’s rapidly growing population, which the country has somewhat harnessed but in many ways failed to serve, will finally plateau around 2065. Indonesia will grow moderately. The United States will grow as well, a bit more quickly than Indonesia but not a boom like India’s. Again, that’s good news for the U.S.

(3) Africa is the next Asia, maybe
This chart shows Asian and African populations from 1950 through today and projected ahead to 2100. This isn’t just a big deal because Africa will be almost as populous as Asia by 2100, after a very long time of being just a fraction of Asia’s size. It’s a big deal because it’s a reminder that growth this rapid changes everything.
Pause for a moment to consider Asia’s boom over the last 50 years – the rise of first Japan, then South Korea, now China and maybe next India – and the degree to which it’s already changed the world and will continue to change it. Africa is expected to grow even more than Asia. Between 1950 and 2050, Asia’s population will have grown by a factor of 3.7, almost quadrupling in just a hundred years. Africa’s population, over its own century of growth from 2000 to 2100, will grow by a factor of 5.18 – significantly faster than Asia.
In demographic terms, it seems, the Asian century could be followed by the African century. That’s an amazing thing. But Asia’s remarkable economic, cultural, political and social progress had to do with more than just demographics. And even that growth could end up being a curse for Africa if it doesn’t have two things that have been crucial to Asian successes: good governance and careful resource management.
Right now, many African countries aren’t particularly adept at either governance or resource management. If they don’t improve, exploding population growth could only worsen resource competition – and we’re talking here about basics like food, water and electricity – which in turn makes political instability and conflict more likely. The fact that there will be a “youth bulge” of young people makes that instability and conflict more likely.
It’s a big, entirely foreseeable danger. Whether Africa is able to prepare for its coming population boom may well be one of the most important long-term challenges the world faces right now.

(4) Africa’s boom will be sub-Saharan
Digging in to the data on African population growth finds that it’s mostly in the continent’s sub-Saharan region. These are the five most populous African countries today (excluding Nigeria, which grows so large that it made the other chart lines unreadably small). The growth looks even more eyebrow-raising when it becomes clear that it will mostly leave culturally distinct North Africa behind: it’s all focused in the sub-Saharan countries. South Africa also will grow more slowly.
Take a look at Tanzania, which is today one of the poorest countries in the world. As of 2000, it had 34 million people; California’s population was the same that year. Today, Tanzania has about 45 million people. By 2100, its population is projected to be 276 million – almost the size of the entire United States today, and by then one of the largest countries in the world. The stories of other African countries may be similar: Ethiopia and the Democratic Republic of Congo are projected to be almost as large.
Even if this demographic prediction does turn out to be accurate, we have no way of knowing what a massively populous Tanzania of 2100 would look like. If it remains as poor and troubled as it is today, it doesn’t bode well: water and food resources will only get scarcer as it’s divided among more and more people, as will whatever money the government makes exporting natural resources. That typically leads to instability and a higher risk of conflict. But, as in Asia, there’s also a real opportunity for the future Tanzania to put its growing population to work building the economy. The question of how to get there, though, is not an easy one.

(5) Systemic shift to developing and least-developed countries
First, the definitions: the “developed” countries, the blue line, include Europe, the United States, Japan, South Korea and other Western countries. The “developing countries,” the green line, includes countries such as Mexico or Russia or Brazil; China and India would normally be in this category but I’ve pulled them out. The “least developed,” in purple, includes, for example, Haiti, Bangladesh and much of Africa.
What’s clear looking at this chart is that for all the rapid growth seen in India and China, both countries are about to be outpaced by the rest of the developing world. The poorest countries will grow especially rapidly, from 663 million people to almost 3 billion; if those countries stay stuck in their current state of development, many may be unable to handle the population booms.
The biggest question may be that green line: do those developing countries continue to develop, following earlier success stories like South Korea and Taiwan? What happens when Southeast Asian or Middle Eastern or Latin American countries see South Korea-style success stories? Look at how much Korea’s successes have already changed the world. We may be seeing a lot more of that in the next century.

(6) The future of the developed world is American
Whether or not you believe that the U.S.’s global dominance will be challenged by “the rise of the rest,” as Fareed Zakaria describes the coming global development, the demographics strongly suggest that U.S. leadership within the developed world will only strengthen.
In Europe, Northeast Asia and the broader Anglosphere, most countries will be seeing demographic stagnation or outright decline, which in turn will make those countries less competitive, especially as the rest of the world booms. Populations will continue aging and shrinking or will stay, at best, basically level.
The one really hopeful case is the United States, which, as you can see, expects pretty healthy, sustained growth. Immigration to the U.S. is the big factor here, the thing that helps inure the U.S. to the demographic decline haunting the rest of the developed world. Usually, countries see their populations decline as soon as they get rich, making their success almost self-defeating. Immigration helps the U.S. to do what very few other countries, including China, has yet figured out: how to be a rich country with a growing population.

(7) Immigration slows Western stagnation
If you take the U.S. out of the above chart, that makes it a little easier to see the distinction between developed countries that have robust immigration and those that don’t. Germany, Japan and South Korea – which, like most of the developed world, tightly restrict immigration – all see declines. But the United Kingdom and France, which allow some immigration from their former colonies, are projected to enjoy modest but healthy population growth. It’s not quite as pronounced as in the United States, but it will likely help them avoid some of the demographic-led economic decline projected in the rest of Europe. It’s an irony that more than 150 years after the end of colonialism, its two widest practitioners will continue to benefit.

(8) Narrowing, but not closing, the life expectancy gap
This is one of two major factors in Asia’s ongoing population boom and Africa’s coming boom. The average lifespan on both continents is going way, way up. In Africa, it will increase by 50 percent over just a century. That’s a remarkable accomplishment. By the end of this century, African life expectancy is expected to approximate the North American average today – but it will still be the lowest in the world.
Europe’s average life span is projected to be 87.6 and North America’s will be 89. That’s an amazing medical accomplishment, but gives economists panic attacks: how do you sustain your economy if the average worker spends a third of his or her life on retirement?
The second factor driving Africa’s population boom is birth rates. Here is the big number that the UN’s new population data uncovered: the average African fertility rate between 2005 and 2010 was 4.9 children per woman. That’s an extremely high number and will cause the sort of youth bulge that developmental economists warn can be economically and politically destabilizing. But it’s tough for policymakers to slow this down, for cultural and religious reasons as well as because, even if too-high fertility might be bad for the region, individual families have every economic incentive to have lots of children.

(9) This is the most important chart on this page
Don’t close the page yet! This is a big one. The “dependency ratio” is the ratio of people under age 15 or over age 64 to the number of people age 15 to 64. The idea is that people who are very young or very old are dependent on others to provide for them. If the “dependency ratio” is 40 percent, that means that there are 40 children or elderly to every 100 working age people. Another way of putting it is that 40 out of every 140 people is a child or elderly person. The higher this ratio, the more people depend on the government, the higher the rest of society’s burden for supporting them.
Right now, Africa’s dependency ratio is high. Really high: about 80 percent. This means that only 56 percent of Africans are working-age. That’s a huge burden on society and a big contributor to poverty. And most of those “dependent age” Africans are very young. (If you’ve ever wondered about the proliferation of child soldiers in Africa, this is part of why: there just aren’t enough 20-something men, but there are lots of children.) But as the birth rate slows and those young dependents enter the work force, the dependency ratio is going to fall, dropping to 60 percent by 2055.
That’s huge. It increases the share of the population that can contribute and lowers the share that uses resources without contributing. The flip side, though, is that having a lot of young people – specifically, young men – can worsen any political instability and can create instability if resources are scarce. Look, for example, at the Arab world today, where a youth bulge contributed to the protests that became revolutions in some cases and civil wars in others. It’s chancy.
Meanwhile, the rest of the world is going to see the opposite trend, and that’s bad news. As birth rates fall, people age and life expectancy rises, we’re going to see dependency ratios increase not just across the developed world but across, save for Africa, basically all of it.
Europe will get the worst of it, with the average dependency ratio hitting an Africa-style 76 percent in 2055. A generation later, South America’s is expected to reach a deeply worrying 82 percent by 2100. Asia has a few decades to prepare: its dependency ratio, currently low, will stay low until it starts to rise around 2050.

And that’s the story of the world’s demographic future, nine decades of population booms and declines that will have unforeseeable but surely transformative political and economic consequences. These numbers aren’t destiny, of course, and lots of people are already trying to change them: developmental economist warning Africa it’s not prepared for the coming boom, European leaders trying to spur population growth, Chinese officials who may overturn the one-child policy and lots of others. But this is the direction the data points today. Whatever happens, it should be quite a century.
Resource adapted from ;  The amazing, surprising, Africa-driven demographic future of the Earth, in 9 charts; By Max Fisher

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Singapore : Students from local universities temper salary expectations in 2013

Singapore : Students from local universities temper salary expectations in 2013


University students are better managing their expectations on the salary of their first job. An online survey by talent company Universum showed that business students expect an average monthly salary of about S$3,300 -- that is a reduction of eight per cent from 2012.
Meanwhile, engineering students maintained their expected monthly salary at S$3,354.
The survey polled more than 6,000 students from Nanyang Technological University, National University of Singapore and Singapore Management University.
Universum said the lower expectations could be due to the tight labour market, as well as concerns over the viability and ease of finding a good first job upon graduation.
Students also continue to rank foreign companies more favourably as an ideal place to work.
The survey showed foreign employers have the edge over local companies in areas like training and development. However, private home-grown companies have better friendly work environment than their foreign counterparts.
Joakim Strom, managing director of Universum, said: "We will see more local companies (in the list) going forward because the local companies tend to start offering similar things as the foreign companies, such as international career opportunities and training.
"And I think the local companies are picking up very fast in terms of what they should offer to students in their career and development."
Resource from:
http://www.channelnewsasia.com/news/video/students-from-local/740618.html

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Thailand Needs to Invest in People, Not Rice

Thailand Needs to Invest in People, Not Rice

                                                                                                                                     by  William Pesek
The search for lessons from lost economic decades has led from Japan to the U.S. to Europe. Now the spotlight turns to Thailand (SET).
This may strike some as odd, considering Thailand’s 5.3 percent growth, its young and expanding population, and the surprising level of political stability in Bangkok. In her two years leading Thailand’s 68 million people, Yingluck Shinawatra has somehow managed to tamp down the virtual civil war that led to the ouster of her prime minister brother in 2006.
Look closer, though, at the thrust of Yingluck’s economic policies. Her government has subsidized rice prices, provided handouts to car buyers and favored mega projects that will enrich the politically connected more than the masses. All this comes at the expense of long-term competitiveness and prosperity: Thailand should instead be investing in its future, especially education, if it wants to break out of the “middle-income trap” that befalls many developing nations.
Yingluck’s U-turn last week on the government’s policy of hoarding rice at above-market rates is a case in point. She had planned to limit a practice that jeopardizes the country’s fiscal position and warps commodity markets. Moody’s Investors Service says the subsidies damage Thailand’s credit rating. Yet she caved to farmers, even firing her commerce minister to do so.

Thaksinomics Redux

Granted, the program isn’t bankrupting Thailand. The country’s $346 billion economy can handle the $4.4 billion the government blew on rice purchases last year. But Yingluck’s recent priorities bear troubling similarities to those her exiled brother, Thaksin Shinawatra, championed from 2001 to 2006. His vaunted “Thaksinomics” never amounted to more than a Tammany Hall-like doling out of cash in return for rural votes.
In January, Yingluck unveiled a plan to lift Thai living standards. She proposed spending about $72 billion over 10 years on transportation, energy and telecommunications projects. Yingluck’s government is pushing an $8.6 billion port-and-industrial-zone project in neighboring Myanmar. Last week in Turkey, she called for a “New Silk Road” rail project to link Europe and Asia.
“We have some very big ideas, concrete ones, to make growth more inclusive,” Transport Minister Chadchart Sittipunt told me last month in Bangkok.
Forgotten in this ambitious building boom, though, is any investment in social infrastructure. It’s even more important to invest billions of dollars in education and in training to improve the quality of the labor force and raise productivity so that Thailand can keep up in the world’s most dynamic region. The country lags not just at the tertiary level, but also at the primary and secondary phases of the education process. Like several other countries in the region, Thailand’s focus on rote learning gives short shrift to creative and critical thinking and English proficiency.
“There is little sign that inadequate investment in human capital and the need for reform of the education system is recognized by the current government,” says economist Peter Warr at the Australian National University in Canberra. He’s done extensive research on Thailand’s economic growing pains.
Thailand matters because it’s a role model in the region. As Myanmar exits decades of isolation and tries to build a healthy economy, it’s looking to Thailand for direction and financing. The same goes for Cambodia, Laos and Vietnam. How Thailand evolves will reverberate around the neighborhood.

Going Nowhere

At the moment, Thailand is walking in place even if its headline growth rates outpace Japan, the U.S. and Europe. To Bank of Thailand economist Piti Disyatat, per-capita gross domestic product tells the story: It has been hovering around 15 percent to 20 percent of U.S. levels for more than 10 years.
This is a precarious moment for Thailand to be stuck at a per capita GDP of about $5,000. Global growth is tepid, China is slowing, and Indonesia, Philippines and Vietnam are winning jobs that Thailand (THGDPYOY) once took for granted. As Thai wages rise, so do production costs. It must move faster up the value chain to build more technologically advanced products in the electronics and automobiles sectors -- preferably bearing Thai names, not just Japanese ones.
Building a more entrepreneurial workforce requires big investments and political will, both of which are in short supply. Corruption, among other things, skews incentives. Massive road, bridge and power-grid projects are dripping with opportunities for politicians and business people to line their pockets. “There are few if any kickbacks available from investment in education,” Warr says. “Physical infrastructure is another matter.”
Thaksin’s policy of cash handouts to rural areas was the economic equivalent of a sugar high. It did nothing to strengthen government institutions, build a credible legal system or invest in human capital. The five prime ministers who led Thailand between Thaksin’s ouster and his sister’s victory in July 2011 spent all their time avoiding another coup.
Now that Thailand is stable, it’s time to invest in the future. Pouring more money into people rather than rice farms and construction companies would be a good start.
(William Pesek is a Bloomberg View columnist.)
Resource from:

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Four Tiger Club Economies

Four Tiger Club Economies
The term Tiger Cub Economies collectively refers to the economies of IndonesiaMalaysia, the Philippines, and Thailand, the four dominant countries in Southeast Asia.

Tiger Cub Economies are so named because they follow the same export-driven model of economic development pursued byHong KongSingaporeSouth Korea and Taiwan, which are collectively referred to as the Four Asian Tigers. Young tigers are referred to as "cubs", the implication being that the four newly industrialized countries who make up the Tiger Cub Economies are rising Tigers. In fact, all four countries are included in HSBC's list of top 50 economies in 2050,while Indonesia and the Philippines are included in Goldman Sachs's Next Eleven list of economies because of their rapid growth.
Overseas Chinese entrepreneurs played a prominent role in the development of the region's private sectors. These businesses are part of the larger bamboo network, a network of overseas Chinese businesses operating in the markets of Malaysia, Indonesia, Thailand, and the Philippines that share common family and cultural ties. China's transformation into a major economic power in the 21st century has led to increasing investments in Southeast Asian countries where the bamboo network is present.

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Mapping China’s middle class ; Parts 1

Mapping China’s middle class ; Parts 1


The evolution of the middle class means that sophisticated and seasoned shoppers—those able and willing to pay a premium for quality and to consider discretionary goods and not just basic necessities—will soon emerge as the dominant force. To underscore this group’s growing importance, we have described it in past research as the “new mainstream.”5 For the sake of simplicity, we now call consumers with household incomes in the 106,000 to 229,000 renminbi range upper middle class. In 2012, this segment, accounting for just 14 percent of urban households, was dwarfed by the mass middle class, with household incomes from 60,000 to 106,000 renminbi. By 2022, we estimate, the upper middle class will account for 54 percent of urban households and 56 percent of urban private consumption. The mass middle will dwindle to 22 percent of urban households (Exhibit 1).

Resource from: